ชื่อเด็กหญิงพัชรินท์ หอมหวล ชื่อเล่น พลอย
เลขที่ 35 ชั้น ม.3/2
เกิดวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2542
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 14 หมู่10 บ้านหนองแค ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
IG : ploy_patcharin26
facebook ploy kibkiw
สุนัข
วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สุนัขบางแก้ว
ประวัติสุนัขบางแก้ว
ประวัติสุนัข
สำหรับประวัติของสุนัขพันธ์ุบางแก้วนั้นได้มีข้อสันนิฐานว่า เกิดจากสุนัข 3 พันธุ์ด้วยกันผสมกันแล้วก็กลายมาเป็นบางแก้ว นั้นก็คือ พันธุ์ไทย พันธุ์สุนัขจิ้งจอก และสุนัขป่า ซึ่งพอผสมสมกันแล้วจะมีลักษณะ ขนยาวปานกลาง ปากแหลม หางเป็นพวง ซึ่งเป็นลักษระของสุนัข จิ้งจอก กะโหลกเป็นสามเหลี่ยม ใบหูตั้งสั้นปลายแหลม โคนหูห่างกันมากเป็นลักษณะของสุนัขป่าส่วนลักษณะของสีหรือรูปร่างก็คล้ายสุนัขพันธุ์พื้นบ้านของไทยทั่วไปนั้นเอง
สุนัขพันธุ์บางแก้ว เป็นสุนัขที่ต้นกำเนิดจาก ตำบล ท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งในอดีตชาวบ้านอาศัยเรือนแพอยู่สองฝั่งคลอนบางแก้ว และมีอาชีพประมงแทบทุกครัวเรือน
สุนัขพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขไทยพันธุ์หนึ่งที่มีความสวยงามคล้ายสุนัขพันธุ์ต่างประเทศมีขนยาวสวยงาม หางเป็นพวง มีรูปร่างขนาดปานกลางรูปทรงของลำตัวตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นรูปสี่เหลี่ยม
ในระยะแรกๆ การเลี้ยงสุนัขบางแก้ว มีการเลี้ยงกันภายในบริเวณเรือนแพต่อมาได้มีการเลี้ยงแพร่หลายออกไปจากบ้านบางแก้วไปบริเวณใกล้เคียงเช่นบ้านชุมแสงสงคราม บ้านห้วยชัน บ้างวังแร่ บ้านบางระกำ เป็นต้น
ปัจจุบันสุนัขพันธุ์บางแก้วได้มีการเลี้ยงแพร่พันธุ์ออกไปทั่วประเทศ ด้วยจุดเด่นและเป็นเสน่ห์คือเป็นสุนัขที่มีอุปนิสัยรัก เจ้าของ รักถิ่นฐาน ซื่อสัตย์ ฝึกง่าย ฉลาดว่องไว และมีนิสัยดุกว่าสุนัขพันธุ์ไทยอื่นๆ ซึ่งมี ประโยชน์ต่อการใช้งานในด้านการ พิทักษ์รักษาทรัพย์ภายในบ้าน ไร่นาและสวนหรือโกดังต่างๆ ได้ดีอีกด้วย ทั้งยังมีลัษณะที่สวยงามเป็นจุดเด่นกว่าสุนัข
ไทยอื่นๆ อีกด้วย
“ด้วยความดุของสุนัขเหล่านี้เอง ทำให้ชาวบ้านนิยมขอลูกสุนัขไปเลี้ยงเฝ้าบ้านแพร่หลายไปมากมายตามหมู่บ้านต่างๆ ด้วยความที่เป็นสุนัขที่หวงทรัพย์สิน รักเจ้าของอย่างถวายหัว และยังมีคนยาวสวยงามจึง ทำให้เป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อตั้งแต่อดีต และในอดีตนั้นไม่มีการซื้อขายแต่จะนำสิ่งของเช่นลูกปืนหรือสิ่งของอื่นๆ ที่ชาวบ้านจำเป็นต้องใช้ไปแลกสุนัขหรือถ้าใครมีโอกาศผ่านไปยังบริเวณดังกล่าว ก็จะมีลูกสุนัขบางแก้วไปเป็นของฝากของกำนัลให้กับเจ้านาย”
ปัจจุบันสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้รับการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่องทำให้มีรูปร่างสวยงาม โครงสร้างใหญ่กว่าในอดีต จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากและได้แพร่หลายออกไปทั่วประเทศ
ประวัติสุนัข
วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
มาตรฐานสายพันธุ์บางแก้ว
มาตรฐานสายพันธุ์
มีขนปุยยาว มีความสง่างาม ว่องไวและแข็งแรง เวลายืนมักเชิดหน้าและโก่งคอคล้ายม้า เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว หน้าแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมีสองชั้น นิสัยรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกหัดได้ ชอบเล่นน้ำมาก ขนาดเท่าสุนัขไทยทั่วไป หรือเล็กกว่าเล็กน้อย ไม่อ้วน ความสูงวัดที่ไหล่ ตัวผู้พ่อพันธุ์สูง 42-53 เซนติเมตร ตัวเมียแม่พันธุ์ 38-48 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมีย 13-15 กิโลกรัมลำตัว ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงตัวตอนท้ายค่อนข้างเล็ก ลำตัวหนาปานกลาง อกลึกปานกลาง อกแคบ ยืดอกเวลายืน ส่วนเอวจะคอดน้อยกว่าหมาไทย ท้ายลาด สง่าเหมือนสุนัขจิ้งจอก ส่วนขา ขาหน้าจะใหญ่กว่าขาหลังเล็กน้อย ขาส่วนบนใหญ่และเรียวลงมาถึงข้อเท้า ตั้งตรงแข็งแรง ถ้าดูด้านข้างจะเห็นขนยาวเป็นเส้นตรงจากข้อเท้าด้านหลังขึ้นไปถึงข้อศอกเหมือนขาสิงห์ ขาหลังช่วงล่างมีทั้งตั้งตรงและเกือบตรง ช่วงบนด้านหลังจะมีขนยาว เป็นเส้นตรงขึ้นไปจนถึงโคนหาง เวลายืนท่าปกติจะรับน้ำหนักทรงตัวดี นิ้วเรียงชิดกัน ขนที่ปลายนิ้วยาวหุ้มเล็บ หัว กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้น ตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนไปข้างๆ เล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นสุนัขบางแก้ว ภายในหูมีขนปรายปิดรูหูอย่างสีดำมีแววของความไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้า ใสแววที่เรียกกันว่า ตาเขียว จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กข่าวคม มีเขี้ยวข้างบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปานดำเหมือนสุนัขไทยทั่วไป ขนสองชั้น หนา ชั้นล่างละเอียดอ่อนนิ่ม ขนชั้นบนยาวเป็นเส้น เมื่อยังเล็กจะมีขนยาวปุกปุยแน่นทั่วตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะมีขนยาวปานกลางแน่นทั้งตัว ขนที่กลางหลังตั้งแต่แผงคอไปยังโคนหางจะยาวกว่าขนบริเวณอื่น ๆ มีแผงขนเป็นชั้นช่วงสันหลัง เวลาโกรธจะฟูยกให้เห็นชัดเจน ด้านล่างจากข้อเท้าตอนล่างถึงโคนขาตอนบนจะมีขนยาวฟูพอประมาณ หางต้องเป็นพวง ถือเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอก
ลักษณะใบหน้า
1. ลักษณะหน้าเสือ ใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง โคนหูตั้งอยู่ห่างกัน หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตาเซื่องซึม พื้นสีตามักจะเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีขนย้อยจากโคนหูด้านล่างเป็นแผงที่คอ เรียกว่า แผงคอ แต่ไม่รอบคอ ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีหางเป็นพวง ทั้งหางงอ และหางม้วน แลดูดุร้าย
2. ลักษณะหน้าสิงโต มีกะโหลกศีรษะเล็กกว่าลักษณะหน้าเสือ หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ป้องไปข้างหน้ารับกับใบหน้าอย่างสวยงาม ปากไม่เรียวแหลมมาก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีขนยาวตั้งแต่โคนหูลงมาด้านล่าง เป็นแผงรอบคอ และมีขนเป็นเคราจากใต้คางย้อยลงมาเหมือนคอพอกลงมาถึงคอด้านล่าง ที่บริเวณรอบลำคอมีขนยาวโดยรอบ มีทั้งขนสั้นฟูและฟูยาว เมื่องมองจากดานหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงโต ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางมีทั้งม้วนสูงและม้วนต่ำ เป็นพวงและไม่เป็นพวง ช่วงตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและท่าทางเซื่องซึม แต่เมื่อเป็นศัตรูปรือคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะหน้าสิงโตเป็นลักษณะที่หายากมาก นาน ๆ จึงจะพบเห็นสักตัวหนึ่ง
3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าลักษณะหน้าเสือและหน้าสิงโต ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปากแหลมเรียวและค่อนข้างยาว ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลางและเล็ก อุปนิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก
คู่มือประกวดสุนัขพันธุ์บางแก้ว
ข้อบัญญัติ 7 ประการ คู่มือการประกวดสุนัขบางแก้วพิษณุโลก
การตัดสินการประกวดสุนัขบางแก้วในการประกวดสุนัขบางแก้ว เจ้าของสุนัขหลายท่านมีความเห็นคัดค้านการตัดสินของกรรมการ และกรรมการตัดสินการประกวดแต่ละสนามก็ตัดสินไม่เหมือนกัน ในเรื่องเจ้าของสุนัขและกรรมการมีความแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเจ้าของสุนัขก็บอกว่าสุนัขของตัวเองสวย ส่วนกรรมการก็มีความเห็นเป็นกลางบอกว่าสุนัขตัวอื่นสวยกว่า ดังนั้นเพื่อให้ผู้เลี้ยงสุนัขได้ทราบถึงหลักเกณฑ์การตัดสินการประกวดและกรรมการที่ตัดสินได้ยืดหลักการตัดสิน จึงมีข้อแนะนำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อวงการเลี้ยงสุนัขบางแก้ว ดังนี้
ข้อควรรู้หรือบัญญัติ 7 ประการ ก่อนตัดสินการประกวดสุนัขบางแก้ว
ข้อควรรู้หรือบัญญัติ 7 ประการ ก่อนตัดสินการประกวดสุนัขบางแก้ว
1. มาตรฐานพันธุ์ เมื่อสมาคมหรือชมรมประกาศมาตรฐานพันธุ์สุนัขบางแก้วออกมา ให้ยืดถือมาตรฐานพันธุ์นั้นเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ที่ผ่านมาก็ต้องยืดมาตรฐานพันธุ์ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดพิษณุโลกได้ประกาศไว้ เมื่อปี 2542 ซึ่งเป็นมาตรฐานพันธุ์ของสุนัขบางแก้วสีรวม คือ สีขาว-น้ำตาล, ขาว-ดำ และสีอื่นๆ ดังนั้นการตัดสินกรรมการจึงต้องใช้มาตรฐานพันธุ์เป็นคู่มือหรือคัมภีร์ บางครั้งมีสุนัขเข้าประกวดเพียง 1 - 2 ตัว ก็สามารถตัดสินได้
2. สีของสุนัขบางแก้ว ในขณะนี้ในท้องตลาดจะพบว่านิยมเลี้ยงกันอยู่ 3 สี คือ ขาว-น้ำตาล, ขาว-ดำ, และบางแก้ว 3 สี คือ ขาว-น้ำตาล-ดำ หรือ บางตัวจะเป็นสีดำออกเทาๆ ในขณะที่สุนัขบางแก้วได้พัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับดังนี้
2.1 ขาว-น้ำตาล ไ ด้รับการพัฒนาสายเลือดมาก่อนสีอื่น เป็นที่ยอมรับของผู้เลี้ยงโดยทั่วๆ ไป และมีผู้เลี้ยงมากที่สุดในขณะนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกและใกล้เคียง
2.2 ขาว-ดำ ในขณะนี้พบในท้องตลาดและผู้เลี้ยงเข้าประกวดลดลง เป็นสุนัขที่มีรูปร่างสวยงาม โดยเฉพาะจะพบว่าขนของสุนัขขาว-ดำจะยาวฟู และมักจะพบเสมอว่าสีดำจุดกระเล็กๆ ในบริเวณพื้นสีขาว และพบมากที่ขาหน้าทั้งสองข้าง ถ้าหากผู้เลี้ยงได้พัฒนาต่อไป เชื่อว่าจุดกระสีดำจะหมดไป สุนัขบางแก้วขาว-ดำ ที่โด่งดังมากที่สุดเป็นพ่อพันธุ์ชื่อ “กี้” ของหมู่บ้านชุมแสงสงคราม หมู่ที่ 2 ได้รับรางวัลที่ 1 เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เป็นที่นิยมของผู้เลี้ยงถึงขนาดลูกหลานของกี้ออกมามีผู้แย่งซื้อกันมาก
2.3 ขาว-เทา บางครั้งเรียกว่าบางแก้ว 3 สี เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจังหวัดพิษณุโลกได้ตัดสินประกวดสุนัขบางแก้วออกมาตัวหนึ่งเป็นสีขาว-เทา เพศผู้ ขนาดเล็กได้ืที่ 3 จำชื่อเจ้าของไม่ได้ ต่อมามีผู้ซื้อมาพัฒนาพันธุ์ในเมืองพิษณุโลกพัฒนาออกมาในสายของ “โอเล่” เนื่องจากมีสีขาว-เทา เพศผู้เพียงตัวเดียว พัฒนาอย่างไรก็ไม่ขึ้น คือ คงความเป็นสีขาว-เทา สองสีอยู่ไม่ได้ จึงได้มีการนำเอาสุนัขบางแก้วขาว-น้ำตาลมาผสมกับสีขาว-ดำ จึงได้สุนัขออกมาสามสี และพบว่าบางตัวจะมีสีเทาแก่จนเป็นสีดำไป จึงน่าเรียกว่าเป็นสุนัขบางแก้วสามสีจะดีกว่า หากพัฒนาเช่นนี้จะไม่ได้สายเลือดนิ่ง คือ จะกำหนดบริเวณของสีหรือขนาดของสี (marking) ไม่ได้แน่นอน สุนัขสีนี้ที่กรุงเทพฯ เป็นที่นิยมเลี้ยงมาก อาจจะเคยประกวดได้ที่ 1 และปั่นราคากันแถมโฆษณาขวนเชื่อว่าเป็นต้นตระกูลของสุนัขบางแก้วเสียอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ผู้เลี้ยงเกิดความเบื่อหน่ายดังเช่นสุนัขไทยหลังอาน เพราะมีความมักง่ายไปปั่นราคาสุนัขหลังอานขนกำมะหยี่ ต่อมาก็ไปไม่รอดไม่พบเห็นขนกำมะหยี่ของผู้เลี้ยงเลย เพราะว่าเป็นขนเกรียนสั้นมากไม่เหมาะสมกับอากาศร้อนบ้านเราที่มีแมลง และยุงมากจนเกิดโรคผิวหนังตามมา แต่ผู้ผสมพันธุ์หารู้ไม่ว่าการเอาของมีน้อยมาปั่นราคาขาย เป็นการเอายีนส์ด้อยออกมาโชว์ย่อมไ่ม่เกิดผลดี ดังนั้นหากจะคงสายพันธุ์นี้ไว้ได้ จะต้องปรับปรุงพันธุ์ให้สายเลืิอดนิ่ง ถ่ายทอดกรรมพันธุ์ได้คงที่และัมั่งคงสู่ลูกหลาน
2.3 ขาว-เทา บางครั้งเรียกว่าบางแก้ว 3 สี เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจังหวัดพิษณุโลกได้ตัดสินประกวดสุนัขบางแก้วออกมาตัวหนึ่งเป็นสีขาว-เทา เพศผู้ ขนาดเล็กได้ืที่ 3 จำชื่อเจ้าของไม่ได้ ต่อมามีผู้ซื้อมาพัฒนาพันธุ์ในเมืองพิษณุโลกพัฒนาออกมาในสายของ “โอเล่” เนื่องจากมีสีขาว-เทา เพศผู้เพียงตัวเดียว พัฒนาอย่างไรก็ไม่ขึ้น คือ คงความเป็นสีขาว-เทา สองสีอยู่ไม่ได้ จึงได้มีการนำเอาสุนัขบางแก้วขาว-น้ำตาลมาผสมกับสีขาว-ดำ จึงได้สุนัขออกมาสามสี และพบว่าบางตัวจะมีสีเทาแก่จนเป็นสีดำไป จึงน่าเรียกว่าเป็นสุนัขบางแก้วสามสีจะดีกว่า หากพัฒนาเช่นนี้จะไม่ได้สายเลือดนิ่ง คือ จะกำหนดบริเวณของสีหรือขนาดของสี (marking) ไม่ได้แน่นอน สุนัขสีนี้ที่กรุงเทพฯ เป็นที่นิยมเลี้ยงมาก อาจจะเคยประกวดได้ที่ 1 และปั่นราคากันแถมโฆษณาขวนเชื่อว่าเป็นต้นตระกูลของสุนัขบางแก้วเสียอีก ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ผู้เลี้ยงเกิดความเบื่อหน่ายดังเช่นสุนัขไทยหลังอาน เพราะมีความมักง่ายไปปั่นราคาสุนัขหลังอานขนกำมะหยี่ ต่อมาก็ไปไม่รอดไม่พบเห็นขนกำมะหยี่ของผู้เลี้ยงเลย เพราะว่าเป็นขนเกรียนสั้นมากไม่เหมาะสมกับอากาศร้อนบ้านเราที่มีแมลง และยุงมากจนเกิดโรคผิวหนังตามมา แต่ผู้ผสมพันธุ์หารู้ไม่ว่าการเอาของมีน้อยมาปั่นราคาขาย เป็นการเอายีนส์ด้อยออกมาโชว์ย่อมไ่ม่เกิดผลดี ดังนั้นหากจะคงสายพันธุ์นี้ไว้ได้ จะต้องปรับปรุงพันธุ์ให้สายเลืิอดนิ่ง ถ่ายทอดกรรมพันธุ์ได้คงที่และัมั่งคงสู่ลูกหลาน
3. รูปทรง สุนัขบางแก้วเป็นสุนัขที่จัดอยู่ในประเภทรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หมายความว่า เมื่อยืนตรง มองด้านข้างแล้วนึกในใจว่า ถ้าไม่มีคอและหางที่เหลือคือ ลำตัวแผ่นหลัง, ขาหน้า, ขาหลัง และความห่างของขาหน้าและขาหลังดูแล้วจะเท่ากันหมด จึงเรียกว่าสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังนั้นผู้นำสุนัขเข้าประกวดไม่น่าจะเอารูปแบบสุนัขพันธุ์อื่นที่พันธุ์ของเข้าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาเป็นตัวอย่างในท่ายืน คือ เอาขาเหยีอดออกไปข้างหน้าข้างหลัง จะทำให้สุนัขบางแก้วดูแล้วไม่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ดังนั้นผู้นำสุนัขบางแก้วเข้าประกวดไม่จำเป็นต้องจัดท่าให้กรรมการดู ควรให้ยืนท่าปกติ หันด้านข้างให้กรรมการดูเท่านั้นก็พอ
4. ขน สุนัขบางแก้วเป็นสุนัขขนยาวเมื่อเทียบกับสุนัขไทยทั่วไป เพราะว่าสุนัขบางแก้วพัฒนามาจากบ้านบางแก้ว เป็นป่าน้ำขัง มีคลองบางแก้วอยู่ จึงมียุงและแมลงมาก ขนยาวจึงเป็นการป้องกันยุงกัดได้ นอกจากขนยาวแล้วมีขนขึ้นหนาทึบ ทำให้สุนัขบางแก้วชอบอาบน้ำ ลงเล่นน้ำ เพราะว่าขนทึบหนาทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จึงเป็นสุนัขขี้ร้อน เมื่อโตเ็ต็มที่จะพบว่ามีขนยาวขึ้นบนไหล่อีกชั้นหนึ่ง ตัวผู้ขนคอยาวดูคล้ายหน้าสิงโต และขนยาวออกผหลังขาหน้าดูคล้ายขาสิงห์ ที่กล่าวมานี้จะพบได้ทุกตัว ถ้าหากสุนัขบางแก้วมีอายุมากขึ้น
5. หาง ต้องเข้าใจว่าสุนัขบางแก้วตามปกติแล้ว พัฒนามาจากสุนัขจิ้งจอก ดังนั้นจึงต้องมีหางเป็นพวงเหมือนสุนัขจิ้งจอก และหางต้องไม่ยาว บางตัวเวลาวิ่งหางอาจจะตั้งเหมือนกระรอกก็ได้ ข้อสำคัญหางต้องเป็นพวง ถ้าโค้งไปบนหลังต้องตรงเส้นสันหลัง หางต้องไม่ไพล่ไปด้านใดด้านหนึ่ง
6. หู เรื่องหูนี้ผู้เลี้ยงสุนัขบางแก้วรุ่นใหม่ๆ จะตัดสินผิดหมด บางคนบอกไม่ใช่สุนัขบางแก้วไปเลยก็มี ในประวัติสุนัขบางแก้วนั้น สุนัขบางแก้วน่าจะมาจาก 3 สายพันธุ์ คือ สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า (หมาแดง) และสุนัขไทย ดังนั้น สุนัขบางแก้วที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนารุ่นแรกๆ จะพบว่ามีหูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายแหลม ปลายหูเบนออกจากกัน แต่ปัจจุบันจะพบว่าใบหูใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม และใบหูตั้งตรงเหมือนสุนัขอัลเซเชี่ยน ดังนั้นผู้เลี้ยงรุ่นใหม่ จึงพบแต่สุนัขบางแก้วหูตั้งตรง พอพบสุนัขบางแก้วหูเล็กปลายหูเบนออกไปด้านข้าง บอกว่าไม่ใช่สุนัขบางแก้ว จึงขอให้เข้าใจว่าสุนัขบางแก้วมี 2 แบบ แบบเก่ากับแบบใหม่ ดังที่กล่าวมาแล้ว
7. อายุ ในการประกวดสุนัขบางแก้วนั้น ถ้าเราคิดว่าการเป็นสัดครั้งแรกอยู่ที่ 8 เดือนขึ้นไป จึงเรียกว่าการเป็นสาวเริ่มแรกแล้ว แต่การเจริญเติบโตเต็มที่ต้อง 12 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะสอดคล้องกับเพศผู้ ตัวผู้ก็จะเริ่มผสมพันธุ์ก็ต้อง 12 เดือนขึ้นไป จึงอยากจะสรุปได้ว่า ถ้ามีประกวดสุนัขบางแก้วอายุตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป จะทำให้ได้สุนัขที่สวยงามและรูปร่างที่คงที่ ซึ่งต่างจากอายุต่ำลงมา เช่น ประกวดรุ่นไม่เกิน 3 เดือน หรือ 6 เดือน การเจริญเติบโตยังต้องมีอยู่และมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่มีการประกวดรุ่นเล็ก เพื่อเป็นการฝึกหัดสุนัขที่เข้าประกวด ฝึกหัดการดู และคัดเลือกสุนัขเล็ก ดังนั้น สุนัขรุ่นเล็กที่ชนะเลิศแล้ว เมื่อเลี้ยงโตขึ้นไปเป็นหนุ่ม-สาวแล้ว ไม่จำเป็นที่ต้องสวยเหมือนตอนเล็กๆ ก็ได้
การตัดสินการประกวด มีขั้นตอนดังนี้
1. การตรวจสุขภาพ ต้องสมบูรณ์โดยการดึงขนดูว่าหลุดออกมาติดมือกรรมการหรือไม่ ตรวจดูความผิดปกติที่เป็นลักษณะกรรมพันธุ์ เช่น ลูกอัณฑะเม็ดเดียว นิ้วเกิน ฟันบนและล่างประกบกันไม่สนิท เป็นปากนกแก้วหรือฟันล่างยื่น ลักษณะที่พบเช่นนี้ให้คัดสุนัขออกไปก่อน ลักษณะที่ไม่พึงปรารถนา เช่น ดูแล้วมีจุดตรงหัวคิ้ว เรียกว่า “หมาสี่ตา” หรือแบบสุนัขสวมแว่น ก็ต้องคัดออกไป
2. การดูด้านข้าง ให้กรรมการยืนดูห่างออกมาเพื่อจะดูรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถ้าไม่ได้สี่เหลี่ยมจัตุรัสให้คัดออกไปเลย ดูหลังแอ่นหรือไม่หลังควรจะตรงดูดั้งจมูกที่จะต่อกับหัวคิ้วต้องแอ่นหรือหักลงเล็กน้อย ไม่ควรจะตรง ดูสีของขนที่มีขาวกับน้ำตาล หรือขาว-ดำ จะสมดุลกันสีขาวไม่ควรจะมากเกิน 50% ดูขนยาวที่ขาว่าเป็นขาสิ่งห์หรือไม่ เป็นต้น
3. การดูหน้าตรง การสังเกตใบหน้าของสุนัขบางแก้ว จะเป็นรูปทรงปากแหลม ต่อมาดูความสมดุลของสีตามใบหน้า ทั้งซีกซ้ายและขวาต้องเท่ากัน ดูสีดำของขอบปากเรียกว่า ปากมอม ต้องสีดำไม่ถึงใบหู ดูใบหูได้สมดุลกันทั้งสองข้าง จมูกและขอบริมฝีปากต้องไม่ด่าง จมูกต้องดำตลอด ถ้ามีขนสีขาวปนต้องคัดทิ้ง สีของลูกตาต้องเป็นสีเหลืองทั้ง 2 ข้าง และสังเกตดูจะเป็นรูปหน้าสิงห์หรือหน้าเสือ
4. การดูด้านหลัง จะดูหางเป็นพวง ปลายหางโค้งไปตรงแกนหลัง ต้องไม่ไพล่ไปข้างใดข้างหนึ่ง ขนที่ก้นย้อยต้องยาวออกมา ถ้าเป็นเพศเมียอวัยวะเพศต้องสมบูรณ์ไม่ด่าง
5. การดูท้อง ต้องให้สุนัขยืน 2 ขาหลัง กรรมการควรจะดูหัวนมบอดหรือไม่ ขนาดสม่ำเสมอหรือไม่ หัวนมซ้าย-ขาว ต้องตรงกัน และได้ระเบียบหัวนมแต่ละข้างจะต้องมีจำนวนเท่ากัน อย่างต่ำต้องมี 3 คู่ ถ้ามี 4 หรือ 5 คู่ยิ่งดี เพราะว่าความสามารถการให้ลุกของสุนัขเพศเมียต้องเท่ากับจำนวนเต้านม เช่น มีเต้านม 3 คู่ ก็สามารถมีลูกได้ 6 ตัว ถ้ามี 4 คู่ก็สามารถได้ลูก 8 ตัว ดังนั้นการมีเต้านมมากจึงได้เปรียบ
6. การวิ่งวงกลม สังเกตจังหวะการวิ่งความเหนื่อยหอบมากน้อยแค่ไหน จากการเตรียมตัวฝึกซ้อมมาประกวดดูขาหน้าข้อเท้าขาหน้าข้ออ่อนหรือไม่ ที่เรียกว่าวิ่งตีนเป็ดหรือไม่ ดูหางถ้าเป็นสุนัขบางแก้ววิ่งแล้วหางต้องตั้งตรงแบบหางกระรอกจะสวยงาม หรือหางเป็นพวงไปข้างหน้า หรือเวลาวิ่งเร็วจะลู่ไปด้านหลังอย่างมีระเบียบ ดูหลังแอ่นหรือไม่ แล้วกรรมการควรจะจัดอันดับการวิ่งให้ตัวที่สวยๆ และรองลงมาเรื่อยจนถึงตัวสุดท้ายที่ต้องคัดออกให้หยุดวิ่งก็ได้
7. การวิ่งตรง ควรให้วิ่งทีละตัว สังเกตการวิ่งตัวตรงหรือไม่ ดูจากให้วิ่งเข้าหากรรมการและวิ่งออกไปคือ ดูด้านหน้าและด้านหลัง ดูด้านหน้าให้สุนัขวิ่งเข้าหากรรมการ ขาหน้าขวาหรือซ้ายวิ่งเจ็บหรือไม่ ข้ออ่อนหรือไม่ ขาซ้ายและขวาวิ่งเข้าด้านในหรือไม่ หน้าอกลึกกว่างหรือไม่ การดูด้านหลังขาหลังข้างใดข้างหนึ่งเจ็บหรือไม่ ว่าหัวเข่า “หลีกหนาม” หรือไม่ ดูหางตั้งตรงหรือไม่ ถ้าหากกรรมการยังตัดสินคัดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ให้นำมาวิ่งเปรียบเทียบเป็นคู่ๆ จะทำให้ตัดสินได้ว่าตัวไหนดีกว่า
วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
